mts95
mts95

มีประโยคหนึ่งที่น่าสนใจบอกว่า “นักแข่ง F1 จะเจอโค้งไม่กี่โค้งแต่ต้องขับซ้ำเป็นร้อยๆ ครั้ง ในการขับ 1 เรซ แต่นักแข่ง Rally ขับเข้าโค้งแต่ละโค้งเพียง 1 ครั้ง แต่ต้องเจอโค้งเป็นร้อยๆ โค้ง ในการขับ 1 เรซ นี่คือ ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุด

นักแข่ง Rally จะไม่ได้รู้รายละเอียดเส้นทางในแต่ละสนามก่อนการแข่งขันเท่ากับนักแข่ง F1 ที่จะรู้รายละเอียดในทุกจุดของสนามว่ามีกี่โค้ง ช่วงไหนใช้ความเร็วเท่าไหร่ ใช้เกียร์อะไร ชนิดฝังเข้าไปในเมมโมรี่ นักแข่งจะมีการตัดสินใจเองระหว่างขับอาจมีฟังคำแนะนำจากทีม Radio บ้างซึ่งจะเน้นไปในเรื่องความปลอดภัยมากกว่าอย่างความเร็วที่ใช้เพื่อถนอมยางให้วิ่งได้ไกลขึ้น กลับกันนักขับ Rally จะต้องคอยฟังคำบอกทางจาก Navigator เกือบทั้งหมด นอกจากนี้ยังไม่มีโอกาสได้ฝึกซ้อมขับไปตามเส้นทางที่ใช้ในการแข่งขันก่อน ผิดกับ F1 ที่จะมีรอบการฝึกซ้อม จูนเครื่องถึง 3 ครั้งก่อน Qualify

สำหรับผมแล้วมันเป็นไปได้ยากมากหากจะให้นักแข่ง Rally กับ F1 มาสลับกันแล้วขับได้ดีเพราะวิธีในการขับขี่มันต่างกันโดยสิ้นเชิง รถ Rallly เป็นรถแข่งที่มีการ Spin ของล้ออยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในเวลาเข้าโค้งเนื่องจากการแข่ง WRC มีเส้นทางแคบ ทางโค้งเยอะ และแต่ละโค้งก็มีระยะห่างกันไม่ไกล ทำให้รถต้องมีการเร่งๆ เบรกๆ แบบถี่มากๆ รถ Rally บ่อยครั้งจึงเน้นเกียร์ต่ำๆ รอบจัดๆ เพราะทุกครั้งที่เบรกก็จะต้องเร่งกลับมาให้ได้อย่างรวดเร็ว จึงมีการเกิดล้อ Spin ได้ตลอดเส้นทางแข่งขันคล้ายกับการตะกุยเพื่อเลี้ยงให้ความเร็วรถไม่ตก ยิ่งในเส้นทางลูกรังที่ต้องอาศัยการ Power Slide ด้วยล้อก็จะ Spin ทุกครั้งในเวลาเข้าโค้ง

ผิดกับ F1 ที่เน้น Traction เป็นหัวใจ คือ ล้อจะเกิดการ Spin ไม่ได้โดยเด็ดขาดเพราะนั้นหมายถึงอันตรายจากการหน้าท้ายสะบัดทำให้เสียหลักและความเร็วลดลงไปง่ายๆ การขับ F1 ในเวลาที่เร่งทำความเร็วจึงต้องไม่มีการแช่เกียร์ใดเกียร์หนึ่งยาวๆ (ยกเว้นพวกเกียร์ในช่วงความเร็วสูงๆ ที่ต้องแช่ไว้ในการทำความเร็ว) เพราะ F1 มีรอบเครื่องจัดทะลุหมื่นรอบต่อนาที หากแช่เกียร์ใดเกียร์หนึ่งนานไปขณะเร่งก็จะเกิดอาการล้อ Spin จนเสียหลักอย่างง่ายดายและยิ่งในการแข่งขันนั้นก็ไม่มีระบบ Traction Control ช่วยก็ยิ่งไปกันใหญ่ โดยนักแข่งจะต้องเปลี่ยนเกียร์ให้เร็วในช่วงเวลาที่รถเร่งไต่ระดับความเร็วครับ นักขับ F1 ถูกสอนอยู่เสมอในเรื่องรักษา Traction ว่าต้องควบคุมให้ล้อทั้ง 4 ให้สามารถหมุนไปบนพื้นแทร็กได้ในทุกจังหวะและหลีกเลี่ยงการ Spin ของล้อ

ผลคือ หากนักแข่ง F1 ไปขับ Rally อาจกลายเป็นเต่าคลานเพราะไม่ถนัดในการเลี้ยงรอบช่วงเกียร์ตำ่เพื่อการตะกุย กลับกันถ้านักแข่ง Rally ไปขับ F1 ก็คงจะทำรถหมุนภายใน 2 โค้งแรกเนื่องจากไม่ชินกับการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นเร็วๆ เพื่อรักษา Traction ไม่ให้ล้อ Spin ซึ่งผลรับก็คือ แย่พอกันครับ

นอกจากนี้รถ F1 การใช้ความเร็วจะเน้นความเป๊ะในแต่ละช่วงของสนาม และต้องวิ่งบน Racing Line ที่สมบูรณ์แบบในทุกโค้ง ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การใช้ Downforce แต่ละสนามว่าควรเน้นทางไหน เซต Downforce ต่ำความเร็วทางตรงสูงแต่เข้าโค้งได้ไม่เร็ว เซต Downforce สูง ทางตรงความเร็วช้าลงแต่เข้าโค้งได้ดีขึ้น ซึ่ง Aerodynamic เป็นปัจจัยสำคัญมากของ F1 แต่รถ Rally ขอให้แค่ทำความเร็วและสามารถวิ่งอยู่ได้โดยไม่ถลำออกนอกเส้นทางก็ถือว่าโอเคร และจะไม่เน้น Racing Line เพราะว่าเส้นทางมันแคบ และมีทั้งหลุมและเนิน อีกทั้งก็ไม่มีเอแป็กให้ปีนอีกต่างหาก ส่วนแอร์โร่ไดนามิก็แทบไม่มีผลอะไรกับรถ Rally ด้วยเช่นกัน

และนี้ก็คือ ความแตกต่างที่เราเห็นได้จากการขับรถแข่ง 2 ประเภทที่มันต่างกันมากๆ ที่ผ่านมาก็เคยมีนักแข่งอย่าง เซบาสเตียน โอเกียร์ แชมป์ WRC 4 สมัยซ้อนชาวฝรั่งเศส ที่ได้รับโอกาสจากทีม Red Bull ให้ลงทดสอบขับรถแข่ง F1 ปี 2011 รุ่น RB7 โดยเขาขับที่สนามเรดบูลริงก์ไปทั้งหมด 60 รอบ เลยทีเดียว

By system